Spotlight

สัมผัสมุมชีวิตเชฟหนุ่ม “อาร์-ธีรภัทร” เส้นทางความฝันที่ไกลเกินฝัน

จากความฝันวัยเด็กกับเส้นทางนักเรียนนายร้อย สู่อาชีพที่ไม่คาดฝัน และกลับดังไกลไปทั่วโลก พรสวรรค์ ความสนุก ในการทำอาหารทำให้ฝันเดินมาไกลเกินฝัน


จากความฝันในวัยเด็ก ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะทำในสิ่งที่อยากทำ กับอาชีพในฝันคือการได้เป็นนักเรียนนายร้อย เขามุมานะเรียนในสายวิทย์-คณิต เตรียมร่างกาย เพื่อจะสานฝันอาชีพรับราชการนักเรียนนายร้อย แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้างเขา ทำให้ความฝันนั้นต้องหยุดชะงักลง เพราะไม่สามารถสอบติดได้เลยสักครั้ง ทำให้จึงต้องเปลี่ยนเส้นทางใหม่ที่พลิกผันจนไม่คิดว่าเส้นทางชีวิตนี้จะผลักดันให้เขาโด่งดังจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก Issra Life EP. นี้ได้มีโอกาสมาพูดคุยถึงเส้นทางชีวิตของเชฟหนุ่มกล้ามโตสุดเท่ห์ “เชฟอาร์-ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์” ผู้ชนะจากการแข่งขัน The Next Iron Chef Season 2 ที่มาพูดคุย พร้อมรอยยิ้มน่ารักสไตล์ตี๋หล่อ ละมุนว่า สมัยเด็กๆ นั้นตัวเองมีความฝันอยากจะเรียนโรงเรียนนักเรียนนายร้อย จึงเลือกเรียนในสายวิทย์-คณิต เพื่อจะนำวุฒิไปสอบเข้า ซึ่งตอนนั้นเริ่มลองลงสอบตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และสอบต่อเรื่อยๆ จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 แต่ก็ไม่สามารถทำความฝันนั้นได้สำเร็จเลย

“ผมใช้เวลา 3 ปีในการสอบตั้งแต่อยู่ ม.4-ม.6 ออกกำลังกาย ฟิตร่างกายทุกวันเพื่อจะทำฝันนี้ให้ได้ แต่ก็ไม่สามารถสอบติดเลยใน 3 ปีรวดที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่เรียนจบ ม.6 อายุก็เกินโควต้าที่จะสอบได้แล้ว ช่วงนั้นเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี ไม่คิดที่จะไปสอบเอ็นทรานซ์ ตอนนั้นเลยตัดสินใจบอกกับที่บ้านว่าขอไปเรียนทำอาหารแล้วกัน อย่างน้อยเรียนจบมาก็ทำงานอยู่ในโรงแรม เป็นเชฟตามโรงแรมต่างๆ”

จากความชอบทำอาหารตั้งแต่เด็ก ประกอบกับคุณพ่อเป็นคนที่ทำกับข้าวเก่ง จึงมักจะเข้าครัวทำอาหารกับคุณพ่อเป็นประจำ รวมถึงการไปจ่ายตลาด และรับหน้าที่ในการทำกับข้าวให้อาม่าทาน ไม่ว่าจะเป็นเมนูไข่เจียว ผัดไท รสชาติอร่อย หรือไม่อร่อย อาม่าก็จะขอให้ตัวเองเป็นคนทำให้ทาน แม้ตอนนั้นจะชอบการทำอาหารก็ตาม แต่ใจจริงแล้วก็ไม่ได้อยากจะนำความชอบนี้มาทำเป็นอาชีพหลัก แต่ด้วยความที่ตัวเองสอบไม่ติดนักเรียนนายร้อย เลยพลิกผันตัวเองมาเรียนทำอาหาร ที่วิทยาลัยดุสิตธานี แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ชอบ แต่ก็สามารถเรียนได้ และคิดว่าการทำอาหารเหมือนเป็นพรสวรรค์ และเป็นความท้าทาย ตลอดระยะเวลาที่เรียนมีความเข้าใจ และรู้สึกว่าการเรียนไม่ได้ยาก เรียนแล้วมีความสุข มองว่าสิ่งนี้มันคือ Born to be โดยสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 ในหลักสูตรปริญญาตรี พร้อมโลดแล่นเข้าสู่วงการเชฟทันทีหลังจากเรียนจบ

เชฟอาร์ เล่าให้ Issara Life ฟังต่อว่าหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรี ก็หาประสบการณ์ทำงานที่โรงแรมต่างๆ ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ดาราเทวี เชียงใหม่ หลังจากนั้นก็เดินทางไปต่างประเทศ ทำงานในสายงานโรงแรม จนขึ้นเป็นหัวหน้าครัว ก็กลับมาประเทศไทยอีกครั้งในช่วงวัย 24 ปี พร้อมหอบเงินก้อนหนึ่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงในช่วงที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ มาเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง โดยนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานต่างประเทศมาใช้กับร้านของตัวเอง และคิดว่าตัวเราเก่งพอที่จะบริหารจัดการระบบต่างๆ ของร้านได้

“ตอนที่กลับมาจากต่างประเทศ ก็มาเปิดร้านเป็นของตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองเก่ง นำสิ่งที่เรียนรู้จากการอยู่ต่างประเทศมาปรับใช้ที่เมืองไทย ซึ่งต้องยอมรับเมื่อกลับมาทำร้านเองไม่ได้มีระบบอะไรเลย นอนตี 1 ตื่นตี 5 จ่ายตลาดเอง เตรียมของเอง ขายเอง คนช่วยในครัวมี 1-2 คน เด็กเสริฟ 3 คน ให้อาแปะมาช่วยเก็บเงิน ตอนนั้นการทำงานไม่ใครคอยช่วยเหลือ ไม่มีคอนแทค รู้สึกไม่ไหวแล้ว ร้องไห้ทุกวัน ทำได้ปีครึ่งจนได้ทุนคืน เลยตัดสินใจบอกแม่ว่าจะปิดร้าน แล้วขอไปเรียนต่อปริญญาโท ที่วิทยาลัยดุสิตธานี ระหว่างที่เรียนก็ขอมาเป็นครูสอนทำอาหารไปด้วย เรียนด้วย ใช้เวลาอยู่ที่วิทยาลัยดุสิตธานีเป็นเวลา 8 ปี”

จุดเริ่มต้นของการแข่งขันจนเป็นที่รู้จักดังไกลไปทั่วโลก เชฟอาร์ เล่าว่าเริ่มแข่งขันการทำอาหารตั้งแต่สมัยเรียนปี 1 นอกจากแข่งทำอาหารแล้ว ก็แข่งบาร์เทนเดอร์ด้วย ซึ่งตอนนั้นก็สามารถคว้ารางวัลการแข่งขันบาร์เทนเดอร์ที่ 3 ของเอเชียมาได้ จนกระทั่งมาเป็นครูสอนทำอาหารก็เริ่มเข้าสู่การแข่งขันจนติดทีมชาติ ระหว่างนั้นก็แข่งขันมาเรื่อย ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อย่างฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง จนเข้าสู่การแข่งขันโอลิมปิก และเข้ามาเป็นกัปตันทีมชาติไทย

“เป็นคนชอบการแข่งขันตั้งแต่เด็ก แข่งทุกอย่าง พอเข้ามาเรียนทำอาหารก็เริ่มลงสนามแข่งขัน แข่งมาเรื่อยๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนเข้าสู่โอลิมปิก ซึ่งจะมีการแข่งขัน 4 ปีครั้ง ตอนนั้นก็ติดทีมชาติคว้าเหรียญทองโอลิมปิกตอนอายุ 27 ปี หลังจากนั้นก็ผันตัวเองมาเป็นโค้ชให้กับทีมชาติไทยมาตลอด ส่งเด็กไทย ส่งมืออาชีพไปแข่งต่างประเทศ จนกระทั่งสถานการณ์โควิดก็เลิก”

เชฟอาร์ เล่าให้เราฟังต่ออีกว่าเสน่ห์ และความหลงใหลในอาชีพเชฟนั้นก็คือศิลปะแขนงนึง จิตกรจะใช้พูกันในการวาดรูป ขณะที่การทำอาหารมันก็คือการรังสรรค์ผลงานศิลปะผ่านการทำอาหาร การทำอาหารแต่ละเมนูก็ต้องคิดออกมาเป็นภาพในหัวก่อน จากนั้นก็ลงรายละเอียดใส่กระดาษ เพื่อนำสิ่งนั้นไปจ่ายตลาด และทำผลงานออกมาเป็นจานจริง สำหรับแนวการทำอาหารที่หลงใหล และมีความถนัดนั้น เชฟอาร์บอกว่าจะเป็นอาหารสไตล์ยุโรป ฝรั่งเศส อิตาเลียน เพราะการทำอาหารแนวนี้มีความสนุก เรียนง่าย เครื่องปรุงน้อย แต่ใช้เทคนิคเยอะ ขณะที่อาหารไทยมองว่ามันเป็นสกิลติดตัวอยู่แล้ว เราเป็นคนไทย เรากินแกงเทโพ แกงพะแนง ซึ่งเราก็ทำได้อยู่แล้ว

"ในส่วนของความชอบในการทำอาหาร ถนัดอาหารยุโรป ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน เพราะตั้งแต่เด็กตอนเรียนทำอาหารทั้งไทย ทั้งเบเกอรี่ ทั้งอาหารเอเชีย เรียนหมดทุกอย่าง เวสเทรินเรียนก่อน แล้วขยับมาเรียนไทย 1 ไทย 2 เบเกอรี่ 1 เบเกอรี่แอดวานซ์ เรียนหมดเลย ตอนเรียนตะวันตกสนุกมาก ชอบเรียนมาก พอขึ้นมาเรียนอาหารไทยไม่แฮปปี้ไม่ชอบ ไม่ชอบตำเครื่องแกง ไม่ชอบสับ หั่น ซอย ไม่ชอบการบาลานซ์รสชาติใส่เกลือ ใส่น้ำตาล น้ำปลา 2 ช้อน น้ำมะนาว 2 ช้อน ซับซ้อน ไม่ชอบทำอาหารไทย ไม่ชอบทำขนม ไปเรียนทำขนมตื่น 7 โมงเช้าไม่อยากไป ทำเบเกอรี่ต้องชั่ง ตวง วัด ต้องรอเวลา เราเป็นคนไทย เรากินแกงเทโพ แกงแพนงอยู่แล้ว เราทำได้ อย่างไรก็ตามอาหารไทยเราก็ถือว่าเป็นอาหารที่ชาวต่างชาติให้การยอมรับ ยกย่อง จะเห็นได้ว่าหลายๆ เมนู อาทิ แกงพะแนง ข้าวซอย แกงมัสมั่น แกงกะหรี่ จะมีลิสต์ติด TOP3 ตลอด และในลิสต์ 50 ลิสต์ของอาหาร จะมีอาหารไทยติดกว่า 20 ลิสต์ นั่นแสดงให้เห็นว่าอาหารไทยเราอร่อยล้ำหน้าในหลายๆ ประเทศ ซึ่งการเติบโต และโด่งดังของอาหารไทยก็เป็นเพราะส่วนผสมที่มีการนำสมุนไพรต่างๆ มาใช้เป็นวัตถุดิบปรุงแต่ง และต่างชาติให้การยอมรับว่าอาหารไทยนั้นเปรียบเสมือนเป็นยาดีๆ นี่เอง"

อย่างไรก็ตามในการทำอาหารก็ย่อมมีการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไปผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการอะไรที่เรียบง่ายมากขึ้น เชฟอาร์ ยังเล่าให้ฟังถึงเทรนด์อาหารจากนี้จะกลับมาสู่ความเป็น Traditional มากขึ้น อาหารรูปแบบ Molecular, Chef’s Table, Fine dining จะเริ่มหายไป ถึงจุดอิ่มตัว จากนี้ไปแนวอาหารจะเน้นเป็นแบบทานสบายๆ ทานง่าย นอกจากนี้อาหารสุขภาพที่เป็น Low calorie, Low fat, Low sugar อาหารในรูปแบบ Healthy จะกลับมา แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นอาหาร Sustainable ในส่วนการปรับตัวของเชฟอาร์นั้นด้วยความที่เรามีโปรดักส์ของเราเอง ที่เป็นแนวอาหารแช่แข็งส่งออกต่างประเทศ เรามีการปรับปรุงแต่งให้อาหารมีความ Low calorie, Low fat, Low sugar, High protein และ High Fiber ถึงแม้ว่าต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นก็ตาม แต่เราก็พยายามจะสร้างความแตกต่างให้โปรดักส์ โดยเฉพาะเรื่องของความอร่อยที่ไม่เหมือนใคร

ก่อนจะจบการสนทนากันในครั้งนี้ เชฟหนุ่มสุดเท่ห์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่าสำหรับท่านผู้อ่านที่อยากไปลิ้มลองฝีมือ หรืออยากไปเจอะเจอกัน ปัจจุบันเปิดธุรกิจส่วนตัว ร้านอาหาร Private dining อยู่ที่เชียงใหม่ชื่อ R+are ซึ่งต้องบุคกิ้งล่วงหน้า และอีกหนึ่งร้านที่ร่วมทำกับพาทเนอร์ ตั้งอยู่ที่โครงการ Earth Ekamai ชื่อร้าน ลา บาเช่ ส่วนผลงานผ่านจอทีวียังสามารถติดตามได้ในรายการไอรอนเชฟ ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 18.00 น. ช่อง 7HD, รายการ BID COIN CHEF ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 น. ช่อง 7HD และอีกหนึ่งรายการ Hell’s kitchen ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำ คาดว่าจะออนแอร์ในช่วงเดือน มกราคม 2567