Insight

ต้อนรับรถ EV คันใหม่ เตรียมบ้านให้พร้อมใช้ เตรียมไฟให้พร้อมชาร์จ

“รถยนต์ไฟฟ้า” (Electric Vehicle หรือ EV) ทางเลือกของคนที่กำลังจะซื้อรถ เมื่อเทียบกับค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าสามารถประหยัดได้มากกว่าถึง 3 เท่า


จากการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่องของค่าน้ำมัน ทำให้ “รถยนต์ไฟฟ้า” (Electric Vehicle หรือ EV) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่กำลังจะซื้อรถใหม่ เพราะทั้งรถ EV, รถ Plug-in Hybrid เมื่อเทียบกับค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายในการเติมแต่ละครั้งแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าสามารถประหยัดได้มากกว่าถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียว แต่เมื่อเราตัดสินใจที่จะมีรถไฟฟ้าใช้สักคัน สิ่งที่ตามมานั่นก็คือการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟ วันนี้จะพาไปเตรียมความพร้อมก่อนที่จะนำเครื่องชาร์จไฟรถไฟฟ้าหรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ มาติดตั้งที่บ้าน เพื่อความปลอดภัยและประหยัดพลังงานอย่างแท้จริงกัน

1. ตรวจสอบประเภทหัวชาร์จของรถยนต์ไฟฟ้า โดยที่นิยมใช้ทั่วไปจะมีอยู่ 2 แบบ คือ


      • Type 1 : หัวชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) แบบ 5 Pin ใช้แหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบ 1 เฟส (Phase) 32 แอมป์ 250 โวลต์ (32A 250V) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา เช่น Nissan Leaf และ Tesla เป็นต้น

     • Type 2 : แพร่หลายในไทย เป็นหัวชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) แบบ 7 Pin ใช้แหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบ 1 เฟส (Phase) 70 แอมป์ 250 โวลต์ (70A 250V) และแบบ 3 เฟส (Phase) 63 แอมป์ 480 โวลต์ (63A 480V) นิยมใช้กับรถยนต์ไฟฟ้ายุโรป เกาหลีใต้ และจีน เช่น Mercedes-Benz, BMW, Volvo, Porsche และ Tesla

2. ตรวจสอบขนาด On Board Charger ของรถ


On-Board Charger คือ ระบบควบคุมการดึงไฟฟ้า ที่ตัวรถจะสั่งการไปยังเครื่อง EV Charger โดยทั่วไปขนาดมีตั้งแต่ 3.6 กิโลวัตต์ ถึง 22 กิโลวัตต์ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์ ซึ่งจะมีผลต่อระยะเวลาในการชาร์จไฟของแบตเตอรี่รถยนต์สามารถสอบถามจากศูนย์บริการรถที่ท่านซื้อ

3. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าของบ้าน


• มิเตอร์ไฟฟ้า

สังเกตที่มิเตอร์ไฟฟ้าดูตรงข้อความที่เขียนว่า “Phase” หรือ “Type” โดยมิเตอร์บ้านทั่วไปจะอยู่ที่ Single-Phase 5(15)A หรือ Single-Phase 15(45)A ซึ่งเป็นกำลังไฟที่ไม่เพียงพอกับการใช้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าการจะติดตั้งเครื่อง EV Charger และใช้ไฟในบ้านได้อย่างเสถียร มาตรฐานขนาดมิเตอร์ที่ทางการไฟฟ้าฯแนะนำ คือ Single-Phase 30(100)A หรือ 3-Phase 15(45)A จึงจะเพียงพอ เมื่อเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าแล้วสิ่งที่ต้องตรวจสอบต่อไปคือ

• ขนาดสายไฟเมน

การเช็กขนาดสายไฟเมน หรือขนาดสายไฟที่เชื่อมมายังตู้ควบคุม หากยังเป็นขนาด 16 ตารางมิลลิเมตร ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ขนาด 25 ตารางมิลลิเมตร รวมไปถึงเช็กตู้ Main Circuit Breaker (MCB) ควรใช้ตู้ที่สามารถรองรับกระแสไฟได้สูงสุดไม่เกิน 100 แอมป์ด้วย

• ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB)

ตรวจสอบภายในตู้ว่ามีพื้นที่เหลือให้ติดตั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า MDB (Main Distributor Board หรือ Circuit Breaker) หรือไม่ เพราะการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ Plug-in Hybrid จะต้องติดตั้ง Circuit Breaker เพิ่ม แยก ใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่นๆ แต่ถ้าไม่มีก็ติดตู้ควบคุมย่อยแยกต่างหาก 1 ตู้

• เครื่องตัดไฟรั่ว

มีระบบตัดไฟภายเครื่องตัดไฟรั่ว (Residual Current Device หรือ RDC) ไว้สำหรับตัดวงจรเมื่อมีค่ากระแสไฟฟ้าไหลเข้า-ออกไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่อาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรรวมไปถึงไฟไหม้ได้ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ดี ควรมีระบบตัดไฟอย่างน้อย RCD Type B หรือเทียบเท่า แต่ในกรณีที่สายชาร์จไฟฟ้าอัตโนมัติ ก็ไม่จำเป็นจะต้องติดตั้งเครื่องชนิดนี้เพิ่ม

4. วิธีเลือกจุดติดตั้งที่เหมาะสม

    • ระยะจากจุดติดเครื่องชาร์จ จนถึงจุดที่เสียบเข้าตัวรถที่จอด ไม่ควรเกิน 5 เมตร เนื่องจากสายเครื่อง EV Charger โดยทั่วไป อยู่ที่ 5 – 7 เมตรเท่านั้น

   • เลือกจุดที่สามารถเดินสายไฟจากเครื่องชาร์จไปยังตู้เมนไฟฟ้าในบ้านได้สะดวก ไม่ควรเป็นโรงรถที่อยู่ห่างไกล เพราะจะต้องเสียค่าเดินสายไฟสูงขึ้น

   • เลือกจุดที่มีหลังคาเพื่อป้องกันละอองฝน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมาตรฐานการกันน้ำของเครื่อง EV Charger นั้นๆ

   • สำหรับลูกค้าที่พักอาศัยอยู่ในคอนโด ให้ติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่นิติบุคคล เพื่อขออนุญาตให้เรียบร้อย ทั้งนี้คอนโดโดยส่วนใหญ่จะมีระยะแนวเดินสายไฟที่ไกลกว่าบ้าน จึงอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า


โครงการ Issara Residence Rama 9 และ Baan Issara Bangna บ้านเดี่ยวระดับซูปเปอร์ ลักชัวรี่ ได้เตรียมพร้อมรองรับลูกค้าที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถ Plug-in Hybrid ด้วยการติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดมาตรฐาน 30(100) A หรือ 3 – Phase 15 (45) A พร้อมเบรคเกอร์และเดินสายไฟให้ในจุดที่เหมาะสม สำหรับการติดตั้งจุดชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าภายในบริเวณโรงจอดรถ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และทรัพย์สินในบ้าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือนัดหมายเข้าชมโครงการ Sales Gallery เปิดบริการ ทุกวัน เวลา 09.00 – 18.00 น. โครงการ Issara Residence Rama 9 : โทร. 095 207 9277-9 หรือ www.charnissara.com/IssaraResidenceRama9 โครงการ Baan Issara Bangna : โทร : 02-026-0180 หรือ 095-207-9235-7 หรือ www.charnissara.com/BaanIssaraBangna